รถ คือ หนึ่งในทรัพย์สินที่จำเป็นต้องจ่ายเงินหลักแสน หลักล้าน เพื่อให้ได้ครอบครอง แต่เอาจริงๆนะครับ หากเราดูแลเขาไม่ดี ก็คงทำให้มูลค่าของเขาลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ
ตรงกันข้าม หากดูแลเขาอย่างถูกวิธี และสม่ำเสมอแล้วละก็ เขาจะดูดีมีราคาและเป็นที่น่าจับตามอง ซึ่งขั้นตอนที่สำคัญก็คือ การล้างดูแลรถนั่นเอง
การล้างรถจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่ขั้นตอนที่เราจะมาเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นส่วนหนึ่งในพื้นฐานที่ฝรั่งเขาเรียกว่า การทำคาร์ดีเทลริ่ง ( Car Detailing )
ผมรับรองว่า 14 ขั้นตอนในการทำ Detailing ที่นำมาแชร์นี้ ได้ผ่านการประยุกต์ใช้ และปรับให้เข้ากับการดูแลรถและสภาพอากาศที่สุดติ่งในเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว
มาติดตามกันเลยครับ ว่า 14 ขั้นตอนในการดูแลรถอย่างมืออาชีพ ที่จะทำให้รถของเราหล่อเฟี้ยวดูดี จนคุณทั้งรัก ทั้งหลง และไม่อยากปล่อยเขา ไปสู่อ้อมกอดคนอื่นเลย
ผมขอแบ่งเป็น 3 Part เพื่อให้ง่ายต่อการลง Detail ในแต่ละส่วนนะครับ
มาเริ่มกันในขั้นตอนที่ 1-4 คือ ส่วนพื้นฐานการล้าง
ขั้นตอนที่ 1 ล้างล้อและยาง
ล้างซุ้มล้อ แม็กซ์ ควรเป็นขั้นตอนแรกเสมอ เพราะอะไรหน่ะเหรอครับ เมืองไทยเรานี้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เรามีดิน โคลน ทราย เยอะมากกกก
ซึ่งเมื่อล้างเป็นขั้นตอนแรก พอสิ่งสกปรกเหล่านั้นกระเด็นไปติดสีรถ เราก็ยังจะสามารถ ฉีดน้ำล้างในขั้นตอนล้างสีได้อีกที
เราควรฉีดน้ำไล่สิ่งสกปรกที่ติดล้อให้เกลี้ยงเลยนะครับ สามารถเลือกใช้สเปยร์น้ำยาพวก Wheel Cleaner ที่มีคุณภาพ
ซึ่งนอกยากจะช่วยสลายคราบละอองน้ำมัน คราบสิ่งสกปรกที่เกาะล้อได้เป็นอย่างดี ล้อดูใสสะอาดแล้ว ยังปลอดภัยต่อผิวล้อแม็กซ์อีกด้วย
จากนั้นใช้แปรงล้างล้อ ล้างตามซอกแม็กซ์ ให้สะอาด แล้วใช้ถุงมือ หรือฟองน้ำนุ่มๆ ชุปแชมพู ล้างล้ออีกครั้ง
( อ้อ ! อย่าลืมนะครับ ต้องแยกถังน้ำและอุปกรณ์ในการล้างล้อ ไม่รวมกับที่ใช้ล้างสีรถนะครับ เพื่อป้องกันเม็ดทรายไปทำให้สีรถเป็นรอย )
จากนั้น ฉีดน้ำแรงๆ ไล่ฟองและสิ่งสกปรกออกให้หมด อย่าทิ้งไว้นานนะครับ เดี๋ยวคราบแห้งแล้วจะล้างออกยากครับ
ขั้นตอนที่ 2 Pre Wash สลายสิ่งสกปรกฝั่งแน่นบนสีรถ
ขั้นตอนนี้ คือการใช้ สเปรย์น้ำยาสลาย คราบโคลน ละอองน้ำมัน ไขมัน คราบแมลงฝังแน่น ที่เกาะอยู่บนสีรถ
โดยเฉพาะด้านล่างชายรถ ซึ่งก้มล้างยากมาก น้ำยาจะช่วยละลายคราบสกปรกเหล่านั้น
โดยที่เราไม่ต้องออกแรงกดหรือบดขยี้อย่างรุนแรงจนทำให้สีรถเป็นรอย
นอกจากนั้น การเลือกน้ำยาที่มีคุณภาพ จะช่วยสลายคราบให้ผิวสีสะอาด ยังช่วยให้การลง Waxหรือ Sealant ทำได้ง่ายขึ้น และยังไม่ทำให้สีรถแห้งกร้านเกินไปอีกด้วย
ขั้นตอนที่ 3 ดึงคราบสกปรกด้วยโฟมล้างรถที่ดี
ขั้นตอนนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์ฉีดโฟม โดยเริ่มฉีดไล่จากข้างบนลงล่าง ทิ้งให้โฟมเกาะไว้ประมาณ 5 นาที
โฟมก็จะค่อยๆ ดึงคราบสกปรก และฝุ่นให้ลอยออกจากสีรถ จากนั้นก็ใช้น้ำแรงฉีดไล่โฟมออกได้เลย
ขั้นตอนนี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยในขั้นตอนการล้างได้ดีทีเดียว แต่การเลือกโฟมล้างรถที่ดีนั้น
ควรเลือกโฟมสามารถสลายสิ่งสกปรกจากพื้นถนนได้ดี และไม่ผสมกรดเกลือที่อาจจะทำให้เกิดการ Remove ชั้น Wax ได้
ขั้นตอนที่ 4 การลูบล้างรถด้วยแชมพู
ขั้นตอนนี้แหล่ะครับสำคัญที่สุด เพราะโอกาสเกิดรอยขนแมว รอยใยแมงมุม (หรือที่เรียกว่า Swirl ) จะเกิดมากที่สุดในขั้นตอนนี้
ทำไม ? ผมถึงกล้าพูดแบบนี้ ก็เพราะ ขั้นตอนนี้มีการลูบถูและสัมผัสสิ่งสกปรกกับสีรถโดยตรงนั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องทำในขั้นตอนนี้ คือ จะต้องมีถัง 2 ใบ
ถังใบที่ 1 ใส่แชมพูล้างรถ
ถังใบที่ 2 ใส่น้ำเปล่า เอาไว้ล้างทรายที่สะสมในถุงมือล้างรถ
แชมพูล้างรถที่มีคุณภาพ ควรจะขจัดคราบได้ดี ไม่ Remove ชั้นเคลือบสี และอ่อนโยน ไม่กัดคราบสกปรกจนทำให้ผิวแห้งตึง
อันนี้สำคัญนะครับ เริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำฉีดไล่ฝุ่นให้เยอะที่สุดจากบนลงล่าง แล้วให้ลูบแชมพูล้างสีรถจากส่วนบนลงล่างเสมอ
หมั่นล้างทรายไม่ให้สะสมในถุงมือล้างรถ ก่อนที่จะชุปแชมพูล้างส่วนต่อไป เพื่อลดโอกาสการเกิดรอยนั่นเอง
มี Tip แนะนำครับ เนื่องจากบ้านเราเป็นเมืองร้อน หากรถมีขนาดใหญ่ การล้างแชมพูรวดเดียวทั้งคันแล้วค่อยฉีดล้างน้ำนั้น อาจทำให้เกิดคราบสกปรกแห้งก่อน
แนะนำให้แบ่งล้างแชมพูทีละส่วน อาจจะทีละครึ่งคัน หรือแบ่งส่วนบน ส่วนล่าง แล้วฉีดน้ำล้างสิ่งสกปรกออกก่อนที่จะล้างในพื้นที่ต่อไป จะช่วยประหยัดแรงในการล้างรถได้อย่างมากเลยครับ
ในส่วนต่อไปขั้นตอนที่ 5-7 ผมขอเรียกว่าขั้นตอนการแก้ปัญหาละกันนะครับ
ขั้นตอนที่ 5 การล้างผงเบรค
หากสังเกตดีๆ โดยเฉพาะ ผู้ที่ใช้รถยุโรป เกือบทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ เมื่อใช้ไปสักพัก ก็จะเห็นได้ว่าล้อรถจะมีผงดำเกาะเต็มไปหมด
ล้างยังไงก็ไม่ออก อันนั้นแหล่ะครับที่เรียกว่า ผงเบรคหรือฝุ่นผ้าเบรค นั่นเอง
ผมแนะนำน้ำยา Iron Out เลยครับ สามารถสลายผงผ้าเบรคได้อย่างดี เพียงแค่สเปยร์ไปที่ล้อแล้วใช้แปรงขนม้า ค่อยๆปัดเบา ฝุ่นผงเบรคก็จะค่อยๆ ละลายออกมาได้อย่าง่ายดาย
แนะนำให้ล้างทีละล้อนะครับ น้ำยาเมื่อทำปฏิกิริยากับผงเบรคจะมีกลิ่นแรงหน่อย ควรหาปิดจมูกและอยู่เหนือลมนะครับ
แน่นอนครับ ฝุ่นเบรคสามารถปลิวไปติดกับสีรถได้ ก็สามารถใช้กับสีรถได้เช่นกันครับ
ขั้นตอนที่ 6 ขจัดคราบยางมะตอย
สิ่งที่คู่กับถนนลาดยาง หรือการสร้างทางในเมืองไทย ก็คือ ยางมะตอยครับ เพราะเวลาเขาทำถนน เขาไม่ได้รักรถเหมือนเรา
ไม่เค้ย ไม่เคย หรือน้อยนักที่จะคิดถึงหัวอกเจ้าของรถ ดีไม่ดีปล่อยให้เราวิ่งลุยจนเละไปทั้งคันเลยครับ
ดังนั้น พวกน้ำยาสลายคราบยางมะตอยก็ควรมีไว้เป็นยาสามัญประจำรถได้เหมือนกันนะครับน้ำยาพวกนี้ สามารถละลายยางมะตอยให้ออกได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องระวังไม่ใช้ผ้าขยี้หรือถูแรงๆ นะครับ เพราะในยางมะตอยอาจมีทรายติดอยู่ทำให้รถเราเป็นรอยได้ครับ
ขั้นตอนที่ 7 การลูบดินน้ำมัน
เมื่อเราล้างรถแล้ว ถ้าเราเอามือลูบไปบนสีรถขณะยังเปียก แล้วรู้สึกสาก ฝืดๆไม่ลื่น เหมือนมีเม็ดเล็กๆ ติดอยู่จำนวนมาก
แสดงว่า สีรถมีการสะสมของสิ่งสกปรกฝังแน่น หรืออาจมีละอองสีก็ติดก็เป็นได้
ให้ใช้ Clay หรือเจ้าดินน้ำมันสังเคราะห์ ลูบไปที่สีรถขณะยังเปียก อาจใช้น้ำยาพวก Clay Lubeช่วย เมื่อสิ่งสกปรกออกหมดแล้ว เวลาเราลูบขณะที่สียังเปียกอีกครั้ง ผิวจะลื่นขึ้นเลยมากเลยครับ
ขั้นตอนที่ 8 การเช็ดแห้ง หรือการซับน้ำ
เมื่อทำทั้ง 7 ขั้นตอนแล้ว ควรฉีดน้ำล้างอีกครั้ง แล้วจึงซับน้ำ โดยผ้าสำหรับที่ใช้ซับน้ำนั้นสามารถเลือกได้หลากหลายรูปแบบ
อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะอากาศเมืองไทยที่ร้อนชื้น การใช้ผ้าช้ามัวร์น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
เพราะผ้าชามัวร์ที่มีคุณภาพ นอกจากจะซับน้ำได้ดีแล้ว ยังลื่น ไม่ต้องออกแรงเยอะในการเช็ดและที่สำคัญเพียงแค่ผึ่งลม ก็แห้งง่าย ไม่เหม็นอับอีกด้วย
ข้อแนะนำ หากมี Blower จะดีมากเลยนะครับ จะได้เป่าไล่น้ำตามซอก เพิ่มความสะอาดหมดจดได้อย่างดีเลยหล่ะครับ
ใน Part สุดท้าย ผมขอเรียกว่า Protection Part ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผมใส่ใจมากๆ เลยครับ เพราะผมคิดว่า การป้องการนั้น ดีกว่าแก้ไข
ขั้นตอนที่ 9-13 จึงเป็นส่วนของการ เคลือบสี หรือเคลือบเงา และการตกแต่งนั่น
ขั้นตอนที่ 9 การเตรียมผิว Cleaning ขจัดคราบไคล
น้ำยา Cleanser มีหลายประเภท ส่วนตัวขอแนะนำเจ้า Tripple All in One น้ำยาตัวนี้ทำงานง่ายมาก ใช้มือหรือเครื่องก็ได้ครับ
แต่หากยังไม่มีประสบการณ์ ใช้มือก็ได้ผลงานที่ใกล้เคียงกับเครื่องเช่นกัน
น้ำยาจะช่วยขจัดคราบไคลสะสม เพื่อให้สีรถไส สะอาด เพื่อให้น้ำยาเคลือบสีสามารถยึดเกาะได้ดีกว่านั่นเอง
ขั้นตอนที่ 10 Paint Glaze
ขั้นตอนนี้ค่อนข้างจะพิเศษซะหน่อย ผมคิดว่านี่คือเคล็ดลับ ที่สร้างความเหนือระดับให้การเคลือบสีเลยนะครับ
โดยใช้น้ำยา Ultra Glaze ที่เป็นขั้นตอนกลาง ใช้ลงหลังจาก Clean ผิว และก่อนเคลือบสี
ด้วยส่วนผสมของ Acrylic polymer สามารถเติมเต็มและกลบรอย swirl ให้สีดูหนา เรียบเนียน
พร้อมฉุดเฉดสีให้ดูชุ่มฉ่ำ พร้อมสร้างการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมให้กับน้ำยาเคลือบสีรถ
แน่นอนครับ Ultra Glaze สามารถใช้ได้ทั้งมือและเครื่อง ซึ่งขั้นตอนนี้แหล่ะครับ คือเคล็ดลับ ที่จะทำให้รถของคุณพิเศษ พรีเมี่ยมเหนือใครๆ
ขั้นตอนที่ 11 การเคลือบสี Wax or Sealant
ส่วนตัวผมคิดว่า การเคลือบสี คือการปกป้อง ผลพลอยได้คือความเงา แน่นอน
เมื่อทำตั้งแต่ขั้นแรกจนถึงตอนนี้ สีรถของเราจะพร้อมที่สุด ไม่ว่าจะเคลือบด้วย Wax หรือ Sealant ก็ตาม
ซึ่งน้ำยาเคลือบสีทั้ง 2 ประเภทนี้ จะให้ความเงาและอารมณ์ที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชอบเลยครับเงาฉ่ำ เงาใส เงาเข้ม เลือกได้ตามที่ชอบกันเลย
ขั้นตอนที่ 12 เคลือบยาง เคลือบพลาสติกยางให้ดูใหม่
รถเงาแต่ยางซีด ก็จะดูไม่สุด เพียงแค่เราเคลือบยางและพลาสติกต่างๆ เท่านั้นแหล่ะครับ ก็จะช่วยฉุดรถให้ดูใหม่และคมสวยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
การเลือกน้ำยา Tyre Dressing & Trim Dressing ที่มีคุณภาพ นอกจะช่วยปกป้องแสง UV ไม่ทำให้พลาสติก ยางแห้งกรอบขาวแล้ว ยังช่วยฉุดสีให้ดูดำแบบเป็นธรรมชาติไม่ดูเยิ้มอีกด้วย
ขั้นตอนที่ 13 เช็ดและเคลือบกระจก
การเช็ดกระจกด้วยน้ำยาที่ออกแบบมาเฉพาะ จะช่วยลดคราบสกปรกสะสมได้ดีกว่า แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าหมั่นลงน้ำยาเคลือบกระจก
เพราะจริงๆแล้ว การเคลือบกระจกไม่ได้มีประโยชน์แค่ตอนหน้าฝนนะครับ แต่ยังช่วยถนอมชั้นผิวเคลือบกระจกจากความร้อนได้ดีอีกด้วย
เมื่อเคลือบกระจกอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดสิ่งสกปรกฝั่งแน่น ช่วยให้เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย
ไม่ฝืด ไม่ปวดแขน เมื่อกระจกไสสะอาด ทัศนะวิสัยดีในการขับรถก็จะดีกว่ามากๆ ครับ
ขั้นตอนที่ 14 เช็ดเก็บงานด้วย Quick Detailer หรือ Spray Wax
ขั้นตอนข้างต้น อาจทิ้งรอยนิ้วมือ หรือคราบตกค้างที่สีรถ การเช็ดด้วย Quick detailer หรือ Spray Wax จะช่วยเก็บคราบเหล่านั้น
หลังจากเก็บงานด้วย Quick Detailer หรือ Spray Wax หลังล้างหรือหลังเคลือบสีแล้ว
รถของเราก็จะมีเสน่ห์ สร้าง Final Touch ที่พิเศษกว่า จนต้องมนต์สะกดมากกว่าเดิม
ทั้ง 14 ขั้นตอนข้างต้น ไม่ได้เป็นเพียง Basic สำหรับการดูแลรถเท่านั้น
แต่ยังเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้รถที่เรารัก มีราคา มีคุณค่า มีเสน่ห์จนใครๆ ต้องเหลียวมอง
ยิ่งถ้าดูแลอย่างสม่ำเสมอแล้วละก็ คุณจะเห็นความแตกต่างอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะเมื่อจอดเทียบกับรถคันอื่นที่ซื้อในเวลาใกล้เคียงกัน
หากมีข้อสงสัยในการดูแลรักษารถ ร้าน KAKAselection ยินดีให้คำปรึกษานะครับ
สามารถติดต่อทาง Line @ ได้เลยครับ
Line ID: @kakaselection หรือ Click
เขียนและเรียบเรียงโดย
Cr: Auto Finesse UK